วันศุกร์ที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2553

'นับจากนี้อีก 50 ปีโลกจะแตก คนไทยจะสูญพันธุ์...' ดร.อานนท์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา

'นับจากนี้อีก 50 ปีโลกจะแตก คนไทยจะสูญพันธุ์…' ดร.อานนท์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา
Pic_124923

ไม่ เฉพาะในประเทศไทย หากดูข้อมูลย้อนหลัง 2010 ถือว่าเป็นปีแห่งภัยพิบัติของโลกอย่างแท้จริง สิ่งที่หลายคนสงสัยอยู่ที่ว่า ถ้าโลกพูดได้ เขากำลังจะสื่อสารอะไรกับมนุษย์หรือเปล่า…? ถ้าคุณเชื่อเรื่องธรรมชาติมีชีวิต เชื่อเรื่องกฎการคัดสรรของธรรมชาติ เชื่อหนังฮอลีวูดที่ผลิตกรอกหูซ้ำๆ ว่าวันหนึ่งโลกจะแตก และเชื่อว่าวันหนึ่งประเทศไทยจะไม่มีอยู่บนแผนที่โลก ฯลฯ นี่คือสิ่งที่คุณต้องอ่านก่อนตาย... !!

2010 คำพูดจากโลก ถึง มนุษย์ผู้ทำลาย

ไทย รัฐออนไลน์ลองค้นข้อมูลคร่าวๆ เกี่ยวกับภัยพิบัติอันเกิดจากธรรมชาติพิโรธ (มนุษย์โลก) แล้ว พบข้อมูลที่น่าตกใจเพราะที่ผ่านมา โดยเฉพาะปี 2010 เหตุการณ์ที่ว่าได้เกิดขึ้นอย่างมากมาย

*เปิดศักราชใหม่วันที่ 12 มกราคม 2553 เกิดแผ่นดินไหวที่ "เฮติ"​ ขนาด 7.0 ริกเตอร์ สร้างความเสียหายมากมายมหาศาล โดยศูนย์กลางแผ่นดินไหวอยู่ห่างจากกรุงปอร์โตแปรงซ์เมืองหลวงของประเทศเฮติ ทั้งนี้ ได้มีการประมาณว่า มีผู้ได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหวครั้งนี้มากกว่า 3 ล้านคน รัฐบาลเฮติรายงานว่ามีผู้เสียชีวิตเกือบ 3 แสนคน ผู้บาดเจ็บอีกกว่า 3 แสนคน และอีกกว่า 1 ล้านคนยังไม่มีที่อยู่อาศัย

* เดือนต่อมาในวันที่ 27 กุมภาพันธ์ เกิดแผ่นดินไหวขนาด 8.8 ริกเตอร์ที่นอกชายฝั่งแคว้นเมาเลประเทศชิลี จนเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายของทรัพย์สินชนิด "ราบพนาสูญ"​ที่น่าตกใจกว่าความเสียหายซึ่งมากมายมหาศาลแล้ว เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้แกนโลกเอียงไปจากตำแหน่งเดิม 3 นิ้วส่งผลให้ระยะเวลาสั้นลงไป 1.26 ไมโครวินาที (1ไมโครวินาที เท่ากับ 1 ในล้านวินาที) เลยทีเดียว

* วันที่ 8   มีนาคม 2553 เกิดพายุทำให้เกิดฝนตกหนักในนครเมลเบิร์น วัดระดับน้ำฝนได้ 26 มิลลิเมตร พื้นที่อื่นวัดระดับน้ำฝนได้สูงถึง 70 มิลลิเมตร นอกจากนี้ ยังมีลูกเห็บยักษ์ที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางถึง 4 นิ้ว หรือเท่ากับลูกเทนนิส มีประชาชนแจ้งขอรับความช่วยเหลือมากกว่า 4,000 คน 

* วันที่ 20 มีนาคม 2553 เกิดการปะทุของภูเขาไฟชื่อดังในไอซ์แลนด์ จริงๆ แผ่นดินไหวได้เริ่มต้นขึ้นนับตั้งแต่ปลายปี พ.ศ. 2552 ในครั้งนี้ ซึ่งมีการจัดดัชนีการระเบิดของภูเขาไฟอยู่ที่ระดับ 1 การปะทุครั้งล่าสุดเกิดขึ้นในวันที่ 14 เมษายนที่ผ่านมาและได้รบกวนการจราจรทางอากาศในทวีปยุโรปมหาศาล ส่งผลกระทบต่อผู้โดยสารนับล้านๆ คน

* ทิ้งท้ายกับภัยธรรมชาติในวันที่ 31 มีนาคม 2553 เกิดแผ่นดินไหวรุนแรงในอ่าวเบงกอล วัดขนาดแรงสั่นสะเทือนได้ 6.8 ริคเตอร์ที่หมู่เกาะอันดามันแอนด์ นิโคบาร์ ในอ่าวเบงกอล

* เดือนถัดมาเรียกว่าภัยธรรมชาติหายใจรดต้นคอโลกใบนี้ราวกับโกรธแค้น วันที่ 7 เมษายน 2553 เมื่อเวลา 05.15 น. (ตามเวลาท้องถิ่น) ขณะที่คนกำลังหลับใหลเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวนอกชายฝั่งของเกาะสุมาตรา ประเทศอินโดนีเซีย มีความรุนแรง 7.8 ริกเตอร์ ไม่มีรายงานผู้ได้รับบาดเจ็บหลังจากนั้นเกิดคลื่นสึนามิ สูง 1.5 ซม.ใกล้ศูนย์กลางแผ่นดินไหว ซึ่งเป็นคลื่นขนาดเล็ก

* อีก 1 อาทิตย์ถัดมา เกิดภูเขาไฟใต้ธารน้ำแข็งตอนใต้ของเกาะไอซ์แลนด์ระเบิดปะทุขึ้นฟ้าสูงถึง 8 กิโลเมตร ฝุ่นขี้เถ้าลอยสูงกว่า 6 พันเมตร และฟุ้งกระจายไปทั่วประเทศ และหลายประเทศในยุโรปตั้งแต่วันที่ 14 เม.ย.เป็นต้นมา กลุ่มควันและเถ้าละอองปลิวฟุ้งขึ้นไปบนท้องฟ้าก่อให้เกิดอันตรายกับเครื่อง ยนต์ไอพ่นของเครื่องบินโดยสารเที่ยวบินในภูมิภาคยุโรปต้องยกเลิกเที่ยวบิน สร้างความโกลาหลอย่างมากมาย

* ในวันเดียวกันที่ประเทศจีนเกิดแผ่นดินไหวซ้ำอีก  มีความรุนแรง 6.9 หรือ 7.1 ริกเตอร์ บริเวณเขตปกครองตนเองยูซู มณฑลชิงไห่ สาธารณรัฐประชาชนจีน เมื่อเวลา 07.49 น. (ตามเวลาในท้องถิ่น) สำนักข่าวซินหัวของประเทศจีน รายงานว่ามีผู้เสียชีวิตอย่างเป็นทางการ 2,220 ราย สูญหาย 70 ราย และบาดเจ็บ 12,135 ราย ซึ่งในที่นี้บาดเจ็บสาหัสเกือบ 2 พันราย

* เหตุการณ์โลกพิโรธต่อมาเกิดขึ้นวันที่ 15 พฤษภาคม 2553 พายุทอร์นาโด และพายุลูกเห็บที่เมืองซุ่ยหัว ซึ่งอยู่ห่างจากเมืองฮาร์บินประมาณ 120 กิโลเมตร ในมณฑลเฮยหลงเจียง ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของสาธารณรัฐประชาชนจีน ทำให้มีผู้เสียชีวิต และได้รับบาดเจ็บมากมาย

* วันที่ 1 มิถุนายน 2553 เกิดแผ่นดินไหวขนาด 6.4 ริกเตอร์ที่นอกหมู่เกาะอันดามันของอินเดียที่ระดับความลึก 127 กิโลเมตร และมีศูนย์กลางแผ่นดินไหวห่างประมาณ 120 กิโลเมตร จากเมืองพอร์ตแบลร์ของหมู่เกาะอันดามัน

* วันที่ 5 มิถุนายน 2553 เกิดพายุทอร์นาโดพัดถล่มทางภาคตะวันตกด้านกลางของสหรัฐอเมริกา

* วันที่ 7 มิถุนายน 2553 ภูเขาไฟระเบิดที่ประเทศคู่แค้นกับอเมริกา "รัสเซีย" และมีรายงานข่าวภูเขาไฟระเบิดอย่างต่อเนื่องมากถึง 3 ครั้งต่อชั่วโมงที่ประเทศเอควาดอร์

* วันที่ 9 มิถุนายน 2553 เกิดแผ่นดินไหวขนาดเกือบ 6 ริกเตอร์ ที่บริเวณประเทศฟิลิปปินส์ นอกจากนั้นยังเกิดแผ่นดินไหวที่เกาะวาเนาตู (Vanautu) ขนาด 6.0 ริกเตอร์อีกต่างหาก

* วันที่ 10 มิถุนายน 2553 เกิดน้ำท่วมขนาดใหญ่ที่รัฐเท็กซัส ของมหาอำนาจสหรัฐอเมริกา

* วันที่ 12 มิถุนายน 2553 ราวตี 1 เกิดแผ่นดินไหวขนาด 7.5 ริกเตอร์ ที่นอกชายฝั่งประเทศอินเดีย ซึ่งห่างจากซีกตะวันตกของหมู่เกาะนิโคบาร์ไปประมาณ 150 กิโลเมตรที่ความลึก 35 กิโลเมตร 

* วันที่ 13 มิถุนายน 2553 เหตุภัยพิบัติพายุฝน และดินถล่มทางตอนใต้ของประเทศจีน ซึ่งได้คร่าชีวิตชาวจีนไปจำนวนหนึ่ง สำหรับมูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจคิดเป็นเงินประมาณ 43,000 ล้านหยวน และมีผู้อพยพกว่าเกือบ 3 ล้านคน

* วันที่ 16 มิถุนายน 2553 เกิดเหตุแผ่นดินไหวบริเวณเกาะไบแอ็ก (Biak) อยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิกทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของเกาะปาปัว วัดความสั่นสะเทือนได้ 6.2 ริกเตอร์

* วันที่ 18 มิถุนายน 2553 ประเทศจีนเกิดน้ำท่วมและแผ่นดินถล่มฉับพลันในพื้นที่ 74 เมือง ของ 6 มณฑล ประมาณการณ์ว่าประชาชนกว่า 2.56 ล้านคนได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติครั้งนี้

* เดือนกรกฎาคม วันที่ 14 เกิดเหตุน้ำท่วม และดินถล่มจากฝนตกหนักทางภาคใต้ของจีน ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 400 คน

* วันเดียวกัน เหตุการณ์แผ่นดินไหวอินโดนีเซียขนาด 5.6 ริกเตอร์ 

* 2 วันถัดมา หรือ วันที่ 16 กรกฎาคม 2553 เกิดพายุโซนร้อน "โกนเซิน" (Conson) ณ บริเวณทะเลจีนใต้ มีศูนย์กลางอยู่ห่างประมาณ 600 กิโลเมตร ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองฮานอย ประเทศเวียดนาม

* ปลายเดือนกรกฎาคมจนถึงราวต้นเดือนกันยายน 2553 เกิดไฟป่าในรัสเซียนับหลายร้อยแห่ง เนื่องจากอุณหภูมิที่สูงที่สุดเท่าที่เคยบันทึกมาในประวัติศาสตร์รัสเซีย และความแห้งแล้งในภูมิภาค มีการประมาณผู้เสียจริงอาจสูงถึง 8,000 คน

* สิงหาคม เริ่มต้นด้วยความเศร้าอีกครั้งในวันที่ 1 สิงหาคม 2553 ได้เกิดอุทกภัยรุนแรงทางตะวันตกเฉียงเหนือของปากีสถาน จากผลพวงของพายุฤดูร้อน ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 1,000 ราย

* 8 สิงหาคม 2553 เกิดอุทกภัย และแผ่นดินถล่มที่จีน เนื่องมาจากฝนตกหนัก ที่เมืองทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศจีน คร่าชีวิตประชาชนไปแล้วอย่างน้อย 127 คน สูญหายอีก กว่า 1,300 คน

* 7 วันถัดมาเกิดเหตุไฟป่าในโบลิเวียเป็นเหตุการณ์ที่นำไปสู่การประกาศสถานการณ์ ฉุกเฉินเนื่องจากพบว่ามีไฟป่าเกิดขึ้นมากกว่า 25,000 จุดทั่วประเทศ ไฟป่าได้ผลาญทำลายบ้านเรือนไปเกือบ 60 หลังคาเรือน

* 6 กันยายน 2553 โคลนถล่มกัวเตมาลา พบผู้เสียชีวิตและสูญหายพุ่งเกินกว่า 100 ราย

* มาถึงคิวประเทศไทย วันที่ 10-30 ตุลาคม 2553 เกิดอุทกภัยในประเทศไทย เป็นเหตุการณ์การเกิดน้ำท่วมในประเทศไทยหนักที่สุดในรอบหลายสิบปี ก่อให้เกิดความเสียหายอย่างหนักทั้งชีวิตและทรัพย์สินในหลายพื้นที่แบบที่ หลายคนยังประเมินความเสียหายไม่ได้

* 25 ตุลาคม 2553 แผ่นดินไหวที่อินโดนีเซีย ขนาดความรุนแรง 7.7 ริกเตอร์

* 26 ตุลาคม 2553 ภูเขาไฟเมราปี (Merapi) ระเบิดซ้ำที่ประเทศอินโดนีเซีย โดยมีรัศมีการกระจายของขี้เถ้าขยายเป็นวงกว้างประมาณ 2-4 กิโลเมตร

* 27 ตุลาคม 2553 สึนามิถล่มซ้ำที่หมู่เกาะ เมนตาไว ประเทศอินโดนีเซีย ความรุนแรงถึง 7.2 ริกเตอร์ ทำให้มีผู้เสียชีวิต 108 คน และสูญหายราว 500 คน

* 1 พฤศจิกายน 2553 เป็นอีกครั้งหนึ่งที่กลายเป็นประวัติศาสตร์ความเสียหายของประเทศไทย กับการเดินทางผ่านของพายุดีเปรสชั่นถล่มภาคใต้ ฯลฯ

อย่างไรก็ดี ภาพช่วงเวลาเหตุการณ์โลกพิโรธส่วนหนึ่งที่กำลังร้อยเรียงอยู่นี้ ปฏิเสธไม่ได้ว่าทำให้เรานึกภาพว่า ภาพยนตร์ดังเกี่ยวกับภัยพิบัติล้างโลกจากฝีมือผู้กำกับฮอลลีวูดที่พวกเขา สร้างขึ้นมาซ้ำๆ มันไม่
ใช่เรื่องที่เกินจินตนาการ หรือเป็นเพียงความสนุกในครัวเรือนซะแล้ว...!!!


ถอดรหัส 2010 วันสิ้นโลก

ดร.อานนท์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา ผู้อำนวยการศูนย์เครือข่ายงานวิเคราะห์วิจัยและฝึกอบรมการเปลี่ยนแปลงของโลก แห่งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยไขปริศนา "โลกเอาคืน" ผ่านไทยรัฐออนไลน์ว่า หลายคนสงสัยว่า ภัยธรรมชาติมากมายที่ผ่านมา โดยเฉพาะในปี 2010 นี้ถือได้ว่าเป็นการเอาคืนมนุษย์ผู้ทำลายของธรรมชาติไหม

"พูดได้ครับ เพราะหลายอย่างเกี่ยวข้องกันอย่างมาก เช่น การเกิดพายุมีคนโยงว่ามันเกี่ยวข้องกับภาวะโลกร้อนที่มันทำให้สภาพโดยร่วม มันเปลี่ยนแปลงไปบ้างเลยทำให้พายุที่เกิดขึ้นมากมายในวงรอบที่มันเปลี่ยนไป หรือว่ามาเกิดในที่ที่ไม่เคยเกิดและเพิ่มดีกรีความรุนแรงอีกต่างหาก ดังนั้นจะสังเกตได้ว่าทั่วโลกกำลังพยายามรณรงค์หรือแม้กระทั่งมีข้อตกลง เพื่อแก้ไขปัญหาโลกใกล้แตกเหล่านี้ เนื่องจากไม่อยากไปให้ถึงจุดที่จะเกิดนั้นจริงๆ"

ถามว่าหากโลกใบนี้ แตก "มนุษย์จะสูญพันธุ์" ไหม ผอ.ศูนย์เครือข่ายงานวิเคราะห์วิจัยและฝึกอบรมการเปลี่ยนแปลงของโลกแห่ง ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บอกว่า

"ถ้าวันนี้เราไม่สู้หรือไม่ทำ อะไรเลย จินตนาการที่ว่าโลกแตกมนุษย์สูญพันธุ์นั้น "มันก็เป็นไปได้..." แต่ก่อนหน้านั้นมันคงจะถึงจุดที่เราเริ่มตระหนักถึงความอันตราย และเราคงไม่งอมือ งอเท้ากันขนาดนั้นซึ่งตอนนี้ทั่วโลกก็พยายามทำกันอยู่ แต่ถ้าเราพูดในสมมติฐานว่า "ถ้าไม่ทำอะไรเลย..." ยังทำร้ายโลกกันแบบนี้ผมเชื่อว่าอีกสัก 50-60 ปีอาจจะต้องมีคนที่ต้องเสียสละ แน่นอนว่าเราอาจจะพาคนทั้ง 7 ล้านคนทั่วโลกไปด้วยไม่ได้ทั้งหมดมันอาจจะมีบางคนเท่านั้นที่ไปรอดจากภัย ธรรมชาติที่จะทำให้มนุษย์นั้นสูญพันธุ์"

แต่ก่อนจะไปถึงจุดนั้น สิ่งสำคัญอันดับแรกที่มนุษย์อย่างเราๆ ท่านๆ ต้องรับมือในตอนนี้ก็คือ การรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของโลก และอากาศในระดับที่มันรุนแรงมากขึ้น เพราะวันนั้นเราสามารถได้เห็นประเทศอย่าง "บังกลาเทศ" หรือประเทศหมู่เกาะที่มันจมหายไปแล้ว หลายทวีปก็ส่อแววแบบนั้นเหมือนกัน

เจ้าของฉายา ด็อกเตอร์โลกร้อนย้ำว่า อีก 50 ปีจากนี้เรามีสิทธิ์เห็นสภาพบังกลาเทศ หรือประเทศจมน้ำไปแน่นอน

"ถาม ว่าแล้วประเทศไทยจะเป็นอย่างไรนับจากนี้ จริงๆ ประเทศไทยถือว่าอยู่ในกลุ่มที่เปลี่ยนแปลงไปค่อนข้างน้อย เราอาจจะไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ แต่เราอาจจะเห็นคนอย่างบังกลาเทศมาอยู่เมืองไทยมากขึ้น ซึ่งผลกระทบหนักๆ ไม่จำเป็นจะต้องเกิดโดยตรงๆ เช่น ถ้าวันหนึ่งประเทศไทยอาจจะผลิตข้าวให้กับโลกเท่านั้นเท่านี้ โดยอาจจะมีองค์การอาหารโลกมากำหนดไม่ใช่ผลิตไปเรื่อยๆ ตามใจประเทศเราประเทศเดียว เป็นผลกระทบทางอ้อมทางเศรษฐกิจ การเมือง สังคม จะมารูปแบบนี้มากขึ้นในอนาคตอันใกล้"

นอกจากนี้ผลกระทบภายในที่เรา ต้องเผชิญก็คือ ถึงวันหนึ่งประชากรเราก็จะหนาแน่นมากขึ้น ทว่าทรัพยากรที่เคยมีให้ใช้กันอย่างสุขสบายในประเทศไทยก็จะมีน้อยลงทุกที พูดง่ายๆ คือเราจะมีทางเลือกที่น้อยลงซึ่งตอนนี้เราจะต้องมาร่วมกันเพื่อหาวิธีการที่ จะทำให้คนของเราไม่เพียงแค่อยู่รอดได้ แต่ต้องอยู่รอดได้อย่างดีจากสภาวะโลกเช่นนี้

มื่อ มองว่าโลกจะต้องถึงกาลอวสานจริงๆ คำถามก็คือวันนี้ "นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลก" มีการมองว่าจะทิ้งโลกที่อนาคตกำลังจะแตกเอาไว้ไหม...? ผู้เชี่ยวชาญเรื่องโลกร้อนบอกว่า "มี"

"เช่น มองว่าวันหนึ่งมนุษย์โลกอาจจะต้องไปอยู่ในใต้ทะเล ซึ่งในใต้มหาสมุทรเรายังมีพื้นที่ 60-70% ของพื้นที่ผิวโลกที่เรายังใช้ประโยชน์อยู่น้อย กระทั่งมีการพูดถึงว่าการผลิตสิ่งต่างๆ อยู่ในทะเลได้หรือเปล่า แม้แต่นักวิทยาศาสตร์หลายท่านก็บอกว่าเรายังมีที่ ที่ไม่คิดว่าจะอยู่ เช่น แอนตาร์กติก ในเขตรัสเซีย ซึ่งตอนนี้เป็นที่ว่างๆ ต่อไปมันอาจจะเปิดกว้าง ต่อไปอาจจะมีเทคโนโลยีที่กระจายคนไปอยู่ตรงนั้นได้ เพราะตอนนี้คน 7 พันล้านคนทั่วโลกมันอยู่กันแบบกระจุกตัวเฉพาะบางแห่ง มันยังมีพื้นที่ที่คนอยู่น้อยเป็นจำนวนมาก แต่ ณ วันนี้ เรายังไม่มีวิธีการที่จะไปอยู่ตรงนั้นได้อย่างมีความสุข"

สุดท้าย เมื่อถึงวันที่คนส่วนหนึ่งจะต้องเสียสละ ถามว่าแล้วประเทศไทยจะรอดกฎคัดสรรโดยธรรมชาติไหม

"มอง ได้หลายแนวทาง ถ้าระบบประเทศยังมีอยู่ เรายังสามารถควบคุมพื้นที่ประเทศได้ เราก็จะเป็นประเทศที่ไม่โดนคัดออกผมเชื่อแบบนั้นเพราะประเทศไทยมีสิ่งที่ อุดมสมบูรณ์มากมายแต่ถ้ามองต่อไปว่าวันหนึ่งเราอาจจะต้องพบกับระบบของคำว่า "ขอบเขตประเทศไม่มี" คือโลกเราเป็นเนื้อเดียวกัน หมายถึงมันมี "รัฐบาลโลก" ทุกคนเป็นประชาชนของโลกไม่มีคำว่า "ประเทศอีกต่อไป" ประเทศไทยจะลำบาก เพราะว่าที่เราอยู่ได้เพราะประเทศไทยเป็นของเรา ถ้าเผื่อใครมาอยู่ก็ได้ มาบริหารประเทศไทยได้ ประเทศไทยจะสูญพันธุ์"

วันนี้ประเทศที่อุดม สมบูรณ์จึงกลายเป็นที่ที่หลายประเทศหมายปองที่จะเข้ามา ดังนั้นเราจะใช้แนวความคิดเดิมๆ แก้ปัญหาโลกไม่ได้ เช่นการใช้ถุงโลกร้อน หรือสร้างเขื่อนกั้นน้ำตรงไหนดี เราต้องไปไกลกว่านั้น เราจะเตรียมรับการเปลี่ยนแปลงทางด้านอื่นๆ ที่มันจะมาเป็นลูกพ่วงกับการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศอีกเยอะแยะ ซึ่งตอนนี้ยังทัน แต่เราต้องเริ่มคิด เรามองให้ไกล ถ้าเรายังมองแบบเดิมๆ เราจะโดนคัดออกแน่นอน...ผู้เชี่ยวชาญเรื่องโลกชื่อดัง กล่าวสรุป.

http://www.thairath.co.th/content/life/124923

 

Updated - Mark Zuckerberg ร่วมงานแต่งงานลูกน้องในเมืองไทย

คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น
มาร์ก ซัคเกอร์เบิร์ก ผู้ก่อตั้งเครือข่ายสังคมสุดฮอตอย่างเฟซบุ๊กที่ปรากฏตัวกลางซอยทองหล่อ กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 27 ธ.ค.ที่ผ่านมา
Updated - กลายเป็นข่าวที่มวลชนไทยออนไลน์ให้ความสนใจมากเหลือเกินสำหรับ มาร์ก ซัคเกอร์เบิร์ก (Mark Zuckerberg) ผู้ก่อตั้งเครือข่ายสังคมสุดฮอตอย่าง “เฟซบุ๊ก” ที่ปรากฏตัวกลางซอยทองหล่อ กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 27 ธ.ค.ที่ผ่านมา แหล่งข่าววงในชี้ว่าซัคเกอร์เบิร์กเดินทางมาประเทศไทยเพื่อร่วมงานแต่งงานของลูกน้องคนสนิทรายหนึ่งซึ่งจะเข้าพิธีแต่งงานกับสาวไทยในสัปดาห์นี้
       
       ข้อมูลเบื้องต้นระบุว่า สาวผู้จะเข้าพิธีสมรสกับมือขวาของซัคเกอร์เบิร์กมีนามว่า “เตื้อย” วิศรา วิจิตรวาทการ เป็นบุตรีของวิวัฒน์วงศ์ วิจิตรวาทการ ผู้บริหารบริษัทในเครือล็อกซเล่ย์ โดยวิศรานั้นมีดีกรีเป็นผู้กำกับภาพยนตร์เรื่องสุญญากาศ (In Space) ผลงานหลังจากการเบนเข็มมาศึกษาด้านภาพยนตร์ในมหาวิทยาลัยนิวยอร์ก (New York University) จากเดิมที่วิศราศึกษาจบปริญญาตรีด้านชีววิทยามนุษย์จากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด จนได้ไปฉายในงานเทศกาลภาพยนตร์มากมาย
       
       ยังไม่มีข้อมูลชื่อของคนสนิทซัคเกอร์เบิร์กที่กำลังจะเป็นเจ้าบ่าวในเร็ววันนี้ รวมถึงกำหนดการเดินทางออกจากเมืองไทยของเศรษฐีที่อายุน้อยที่สุดในโลก
       
       ข่าวการเดินทางมาประเทศไทยของซัคเกอร์เบิร์กนั้นได้รับความสนใจจากชาวออนไลน์อย่างมาก โดยเป็นหัวข้อที่ถูกพูดถึงในทวิตเตอร์ และเครือข่ายสังคมอื่นๆ บ่อยครั้งเพื่อบอกต่อถึงการพำนักในประเทศไทยขณะนี้ ซึ่งข้อมูลจากทวิตเตอร์ระบุว่า ซัคเกอร์เบิร์กนั้นต้องการพักผ่อนในผับชื่อ Enchanted ย่านทองหล่อ แต่ยามรักษาการณ์ไม่ให้เข้าเนื่องจากที่นั่งเต็มเสียก่อน
       
       หลังจากมีการยืนยันจากแหล่งข่าวว่าเจ้าของและผู้ก่อตั้งเฟซบุ๊กเดินทางมาประเทศไทยเพื่อร่วมงานแต่งงานของคริส ค็อกซ์ (Chris Cox) รองประธานเฟซบุ๊ก และเพื่อนเก่าของเขา โดยพิธีสมรสจะจัดขึ้นช่วงเช้าวันพุธ (29 ธ.ค.) นี้ ณ สถานที่ในย่านถนนสาทร ส่วนงานเลี้ยงฉลองสมรสระหว่างค็อกซ์กับแฟนสาวชาวไทยจะจัดขึ้นที่ห้องอาหารแห่งหนึ่งในย่านสุขุมวิทคืนวันเดียวกัน
       
       ล่าสุดมีรายงานว่า วันนี้ (29 ธ.ค.) เมื่อเวลา 10.00 น. มาร์ก ซัคเกอร์เบิร์ก ได้เดินทางไปร่วมพิธีรดน้ำสังข์ของเพื่อนคนสนิทดังกล่าวที่บ้านพักของหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช ในซอยสวนพลู (ซอยสาทร 3) ถนนสาทรใต้ และขณะนี้กำลังเดินทางกลับที่พัก
       
       ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า แขกที่มาร่วมงานรายหนึ่งซึ่งระบุตนเองว่าเป็นเพื่อนในกลุ่มของ มาร์ก ยืนยันว่ามาร์กมาร่วมงานพิธีดังกล่าวจริง และยังได้มีการถามต่อไปว่ามาร์กจะอยู่ในประเทศไทยอีกนานแค่ไหน และได้รับคำตอบว่าคงอีกสักระยะหนึ่ง เพราะแขกที่มาร่วมงานวางแผนที่จะไปเที่ยวทะเลในอีกไม่กี่วันนี้ และไม่แน่ใจว่ามาร์กจะตามไปด้วยหรือไม่
       
       

       ภาพมาร์ค ซัคเกอร์เบิร์ก กับ คริส ค็อกซ์ จากการรายงานของนิวยอร์กไทมส์ในปี 2552

       
       ความสนใจเรื่องการเยือนประเทศไทยของซัคเกอร์เบิร์กที่เกิดขึ้นนั้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะชื่อเสียงของเฟซบุ๊ก ผลงานที่ทำให้ซัคเกอร์เบิร์กสามารถร่ำรวยเงินทองจนกลายเป็นเศรษฐีที่อายุน้อยที่สุดในขณะนี้ โดยนิตยสารฟอร์บส์ได้จัดให้ซัคเกอร์เบิร์กมีอันดับความร่ำรวยที่ 35 ก้าวกระโดดจากอันดับที่ 158 ในปี 2009 มีมูลค่าทรัพย์สินจากเดิม 4.9 พันล้านเหรียญมาเป็น 6.9 พันล้านเหรียญในปีเดียว เป็นตัวเลขที่ฮือฮาอย่างมากเพราะสูงกว่าทรัพย์สินของผู้ก่อตั้งแอปเปิล ซึ่ง สตีฟ จ็อบส์ นั้นสามารถทำได้เพียงอันดับที่ 42 ด้วยทรัพย์สินมูลค่า 6.1 พันล้านเหรียญ ขณะที่นิตยสารไทม์ล่าสุดก็ยกให้เขาเป็นบุคคลแห่งปีอีกด้วย
       
       ปัจจุบัน เฟซบุ๊กคือบริการเครือข่ายสังคมออนไลน์ยอดนิยมที่มีสมาชิกมากกว่า 500 ล้านคนทั่วโลก เฉพาะประเทศไทยนั้นมีจำนวนสมาชิกราว 7 ล้านคน และมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องมากขึ้นเรื่อยๆ
       
       
** ภาพคู่บ่าว-สาว คริส ค็อกซ์ และวิศรา วิจิตรวาทการ ที่ได้รับการโพสต์บนเฟซบุ๊ก “Sirikorn Maneerin” ของ ดร.สิริกร มณีรินทร์ **

       
       
** ที่ 2 จากซ้าย - วิวัฒน์วงศ์ วิจิตรวาทการ ผู้บริหารบริษัทในเครือล็อกซเล่ย์ บิดาของเจ้าสาว ถ่ายภาพร่วมกับ ดร.สิริกร มณีรินทร์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และมาร์ก ซัคเกอร์เบิร์ก**

       
       
** ภาพมาร์ก ซัคเกอร์เบิร์ก ถ่ายคู่กับแขกที่เข้าร่วมงานพิธีรดน้ำสังข์ ที่มีการส่งต่อไปทั่วทวิตเตอร์ ซึ่งผู้สื่อข่าวยืนยันว่าเป็นภาพที่ถูกถ่ายขึ้นภายในงานจริง **

       
       

รายงานสดจากพื้นที่ข่าว

เดินทางไปที่นี่
Latitude: 13.720258 Longitude: 100.533559

บรรยากาศหน้าบ้านพักของหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช ในซอยสวนพลู สถานที่จัดพิธีรดน้ำสังข์ คริส ค็อกซ์ รองประธานเฟซบุ๊ก และแฟนสาว

       
       Company Related Link :
       Facebook




โทรคมไทยระส่ำ รัฐส่อ 2 มาตรฐาน !!!

       เตือนรัฐ อย่าจัดการปัญหาเรื่องแก้ไขสัญญามือถือ แบบ 2 มาตรฐาน ประเภทไล่บี้เอไอเอสให้ตายคามือ ในขณะที่อุ้มสมดีแทคและทรูมูฟ ชี้ผลกระทบตามมามหาศาล โดยเฉพาะตลาดเงิน ตลาดทุน เพราะเอไอเอสถือเป็นหุ้นบลูชิปชั้นดี มีการลงทุนจากสถาบันจำนวนมาก
       
       แหล่งข่าวในวงการโทรคมนาคมกล่าวว่า กรณีคณะกรรมการมาตรา 22 ตามพรบ.ร่วมทุนปี 2535 ชงเรื่องให้รมว.ไอซีทีเสนอครม.เพื่อฟ้องเรียกค่าเสียหาย จากเอไอเอส 7.5 หมื่นล้านบาท กรณีแก้ไขสัญญาระบบเติมเงิน (พรีเพด) 5.5 หมื่นล้านบาทและ การไม่นำส่งรายได้จากการใช้โครงข่ายร่วม (โรมมิ่ง) 2 หมื่นล้านบาท เป็นเรื่องที่ถูกจับตามองอย่างมากว่ารัฐจะดำเนินการกับปัญหานี้อย่างไร เพราะอาจทำให้เกิดผลกระทบกับความน่าเชื่อถืออย่างรุนแรง กระทบกับการลงทุนมหภาค ความน่าเชื่อถือในตลาดเงินและตลาดทุน เพราะเอไอเอสเป็นหุ้นบลูชิป ที่ได้รับรางวัลด้านบรรษัทภิบาล และเป็นหุ้นที่มีการลงทุนจากสถาบันจำนวนมาก รวมทั้งยังมีผู้ถือหุ้นรายย่อย หากรัฐตัดสินใจไม่ถูกที่ถูกเวลาและถูกเงื่อนไขแล้ว จะได้รับความเสียหายอย่างหนัก
       
       'ตอนนี้ประเด็นสำคัญคือนักลงทุนมองว่า รัฐกำลังจัดการปัญหาอุตสาหกรรมโทรคมนาคมแบบ 2 มาตรฐาน ในขณะที่ไล่ล่าเอไอเอสอย่างหนัก แต่มีแนวโน้มว่าคณะกรรมการม.22 จะสรุปให้ดีแทคไม่ผิดหรือไม่ทำให้รัฐเสียหาย และคณะกรรมการม.13 ก็จะมีการสรุปที่เป็นคุณกับทรูมูฟ ทั้งๆที่ดีแทคและทรูมูฟมีการแก้ไขสัญญาในประเด็นสำคัญไม่ต่างจากเอไอเอส'
       
       นายธนา เธียรอัจฉริยะ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารดีแทคกล่าวว่าดีแทคไม่ค่อยหนักใจกับผลการพิจารณาของกรรมการม.22 เพราะการแก้ไขสัญญาดีแทคทำให้รัฐหรือกสทได้ประโยชน์ด้วยซ้ำ จากการเปิดให้มีผู้ให้บริการเพิ่มขึ้นอย่างทรูมูฟและดีพีซี รวมทั้งไม่สามารถชี้ชัดเป็นมูลค่าตัวเงินได้ว่าการแก้ไขสัญญาของดีแทค ทำให้กสทเสียประโยชน์หรือเสียหายมากน้อยแค่ไหน
       
       'น่าหนักใจแทนเอไอเอส เพราะมีคำพิพากษาศาลฎีกาคดียึดทรัพย์เป็นแนวทางอยู่แล้ว ทำให้กรรมการม.22 ต้องยึดแนวทางพิจารณาตามนั้น'
       
       ในขณะที่นายอธึก อัศวานันท์ รองประธานกรรมการและหัวหน้าคณะผู้บริหารด้านกฎหมาย ทรูคอร์ปอเรชั่นกล่าวว่าทรูมูฟน่าจะได้รับผลกระทบน้อยที่สุด จากการพิจารณาของคณะกรรมการม.13 เพราะรัฐบาลจะมีแนวทางจัดการปัญหาของทรูมูฟได้ 2 วิธี คือ1.ให้ทำธุรกิจต่อไปได้ แต่มีการคุยรายละเอียดใหม่ร่วมกันทั้งสองฝ่าย และ2.ให้เลิกการดำเนินธุรกิจเลย ซึ่งหากเป็นวิธีนี้ จะมีผลกระทบตามมามากมายเพราะต้องถือว่าเหมือนสัญญาทรูมูฟไม่มีมาตั้งแต่ต้น รัฐก็ต้องส่งคืนทรัพย์สินต่างๆที่ทรูมูฟโอนไปให้กลับคืนมา รวมทั้งต้องส่งกลับรายได้ที่ทรูมูฟ แบ่งให้ตามสัญญาตั้งแต่ต้น
       
       'ไม่ว่ารัฐจะตัดสินใจแนวทางไหน อาจต้องไปจบที่ศาล เพราะเอกชนต้องปกป้องสิทธิของตัวเองเต็มที่'
       
       แหล่งข่าวจากกรรมการม.22 ระบุว่าคณะกรรมการม.22 ที่ประกอบด้วยตัวแทนจากสำนักงานอัยการสูงสุด กระทรวงการคลัง กระทรวงไอซีที สภาพัฒน์ฯ กระทรวงกลาโหม กระทรวงคมนาคม สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าลาดกระบัง และเอไอเอส ไม่ค่อยให้ความสำคัญกับเหตุผลคัดค้านของเอไอเอส ในประเด็นการแก้ไขสัญญาพรีเพดและการโรมมิ่งว่าไม่ได้ทำให้รัฐเสียประโยชน์ แต่ตรงกันข้าม รัฐและประชาชนผู้ใช้บริการกลับได้รับประโยชน์มหาศาลจากการแก้ไขสัญญาดังกล่าว เหมือนเป็นการพิจารณาแบบตั้งธงล่วงหน้า
       
       ทั้งๆที่แก้ไขสัญญา ปรับส่วนแบ่งรายได้พรีเพดให้เป็น 20% ระหว่างทีโอทีกับเอไอเอส เกิดขึ้นเพราะดีแทคขอลดค่าเชื่อมโครงข่าย (แอ็คเซ็สชาร์จหรือเอซี) จากเลขหมายละ 200 บาทต่อเดือนเป็น 18% ของราคาหน้าบัตร ซึ่งเมื่อทีโอทีอนุมัติแล้วทำให้ต้นทุนการให้บริการดีแทคได้เปรียบเอไอเอส ดังนั้นบอร์ดทีโอทีจึงแก้ไขส่วนแบ่งรายได้พรีเพดของเอไอเอส เพื่อสร้างความเป็นธรรมในการแข่งขันและกระตุ้นตลาดให้เติบโตมากขึ้น ซึ่งเมื่อฐานตลาดใหญ่ขึ้น ส่วนแบ่งรายได้ก็มากขึ้นตามไปด้วย ซึ่งหากไม่เกิดการอนุมัติครั้งนั้น ตลาดพรีเพดก็จะไม่มีโอกาสเติบโตได้เท่าทุกวันนี้
       
       นอกจากนี้เหตุผลที่รัฐไม่รับฟังเอไอเอสเลย คือ 1.ประโยชน์ที่เกิดจากประชาชนเมื่อเอไอเอสได้รับการปรับลดส่วนแบ่งรายได้คือ 1.ค่าบริการถูกลงในปี 2544 ค่าบริการเฉลี่ยนาทีละ 5.44 บาท ลดลงเหลือไม่ถึงนาทีละ 1 บาทในปัจจุบัน ซึ่งคิดเป็นจำนวนเงินที่เอไอเอสลดให้ลูกค้ากว่า 7.66 แสนล้านบาท 2.ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อเดือนลดลงจากเดิมในปี 2544 อยู่ที่ 431 บาท ก็ลดเหลือเดือนละ 206 บาทในปี 2551 และ 3.ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการโทรศัพท์มือถือได้สะดวก จากเดิมในปี 2544 มีสัดส่วนผู้ใช้บริการประมาณ 5.08% ของประชากร ก็เพิ่มขึ้นเป็น 86.29% ของประชากร ซึ่งผู้ให้บริการต้องลงทุนสร้างสถานีเครือข่ายรองรับการให้บริการจำนวนมากมายมหาศาล และเครือข่ายเหล่านั้นก็ถูกโอนเป็นสมบัติของรัฐ
       
       ในส่วนของผลประโยชน์ที่ทีโอทีได้รับคือ 1.ส่วนแบ่งรายได้ที่มากขึ้น จากการที่เอไอเอสสามารถแข่งขันในตลาดได้ ทำให้รักษาการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยก่อนหน้านี้ทีโอทีได้รับส่วนแบ่งรายได้จากพรีเพดเพียง 451 ล้านบาท แต่ในปีถัดมาทีโอทีได้รับถึง 3,419 ล้านบาท และจนสิ้นปีดำเนินการที่ 19 ทีโอทีได้รับส่วนแบ่งเป็นเงินกว่า 8.1 หมื่นล้านบาท 2.ทีโอทีได้รับประโยชน์จากเงินส่วนแบ่งรายได้ที่ได้รับชำระเร็วขึ้นเป็นรายเดือนโดยคิดตามอัตราดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารเป็นเงินประมาณ 676 ล้านบาท และ3.ทีโอทีได้รับมอบทรัพย์สินในมูลค่าที่สูงขึ้นจากการขยายตัวของโครงข่ายที่เพิ่มขึ้นเพื่อรองรับการใช้งานของประชาชน มากกว่า 1.54 แสนล้านบาท
       
       ในขณะที่ประโยชน์สาธารณะโดยรวมที่รัฐได้รับคือการขยายตัวของโทรศัพท์มือถือระบบพรีเพด ที่สามารถเข้าถึงประชาชนได้ทุกภาคส่วน ทำให้เกิดความสะดวกในการติดต่อสื่อสาร มีผลต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ เกิดการสร้างงาน ลดต้นทุนการประกอบธุรกิจ สร้างรายได้ในรูปภาษีอากรให้รัฐ
       
       นายสมประสงค์ บุญยะชัย ประธานกรรมการบริหาร ชินคอร์ป เคยกล่าวก่อนหน้านี้ว่าภาครัฐควรมองความจริงรอบด้านและในทุกมิติ โดยเฉพาะกรณีแก้สัญญาเรื่องส่วนแบ่งรายได้ระบบพรีเพดของเอไอเอสจากอัตราก้าวหน้า 25-30% เป็น 20% รัฐไม่ควรมองแค่ส่วนแบ่งลดลงไปเท่าไหร่ และคำนวณย้อนเวลากลับไปคูณกับฐานลูกค้า เพราะจะทำให้ได้ตัวเลขที่ไม่ได้ยืนบนความจริงเนื่องจากเป็นตัวเลขที่ไม่เคยเกิดขึ้นจริง
       
       การแก้สัญญาดังกล่าวภาครัฐควรมองว่าจำนวนลูกค้าที่เพิ่มมากขึ้นหมายถึงทีโอที ก็ได้ส่วนแบ่งรายได้เพิ่มขึ้น รวมทั้งฐานลูกค้าที่เพิ่มขึ้น 17 ล้านรายหมายถึงเอไอเอสต้องลงทุนขยายเครือข่ายหลายหมื่นล้านบาท ซึ่งต้องถูกโอนเป็นทรัพย์สินของรัฐหรือของทีโอทีตามสัญญา BTO นอกจากนี้เอไอเอสก็ปฏิบัติตามเงื่อนไขคือการลดค่าบริการให้ประชาชนซึ่งมากกว่าที่กำหนดไว้ในเงื่อนไข
       
       'เราปฏิบัติตามสัญญา ซึ่งเราไม่ได้บังคับใคร เพื่อให้เราได้ทำแบบนั้นหรือแบบนี้ผมเห็นว่าทีโอทีก็ได้รับประโยชน์จำนวนมาก และทีโอทีก็เป็นองค์กรธุรกิจที่ต้องมองโอกาสและผลประโยชน์ที่จะเข้ามาในอนาคต'

http://www.manager.co.th/Cyberbiz/ViewNews.aspx?NewsID=9530000183342


วันพฤหัสบดีที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ส.ส.ท.ขอเชิญผู้สนใจลงทะเบียนและยื่นข้อเสนอรายการปี 2554

ไฟล์แผนจัดทำรายการ ปี 2554
 


     พ.ร.บ.องค์การฯ ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมผู้ผลิตรายการอิสระเพื่อส่งเสริม และยกระดับวิชาชีพสื่อสารมวลชน เพื่อประโยชน์สาธารณะ ส.ส.ท.จึงได้กำหนดให้มีการเปิดรับข้อเสนอรายการจากผู้ผลิตรายการอิสระ ประจำปี 2554 เพื่อให้ผู้ผลิตอิสระทุกประเภท ทั้งบุคคล คณะบุคคล องค์กร หน่วยงาน นิติบุคคล ผู้ประกอบการโดยเฉพาะผู้ประกอบการรายย่อย ให้มีโอกาสร่วมสร้างสรรค์รายการที่มีคุณประโยชน์กับ ส.ส.ท. เพื่อบรรลุเป้าหมายของภารกิจสื่อสาธารณะที่ต้องการสร้าง “สังคมคุณภาพ คุณธรรม”

      ส.ส.ท. จึงขอเชิญผู้ผลิตที่สนใจเสนอรายการ ให้ดาวน์โหลดเอกสารด้านล่างนี้ซึ่งเป็นเงื่อนไข และความต้องการรายการ ตลอดจน ข้อแนะนำและแบบฟอร์มการลงทะเบียน เพื่อศึกษาให้ละเอียดก่อนการลงทะเบียนยื่นข้อเสนอ

 
 
 
   
 
ไฟล์คำนำ (.doc)  ไฟล์คำนำ (.pdf)
คำนำ  
 
ไฟล์คุณสมบัติของผู้ผลิตรายการที่เปิดรับรายการ ประจำปี 2554 (.doc)  ไฟล์คุณสมบัติของผู้ผลิตรายการที่เปิดรับรายการ ประจำปี 2554 (.pdf)
คุณสมบัติของผู้ผลิตรายการที่เปิดรับรายการ ประจำปี 2554  
 
ไฟล์ข้อตกลงการยื่นข้อเสนอเพื่อการคัดสรรรายการ (.doc)  ไฟล์ข้อตกลงการยื่นข้อเสนอเพื่อการคัดสรรรายการ (.pdf)
ข้อตกลงการยื่นข้อเสนอเพื่อการคัดสรรรายการ  
 
ไฟล์ขั้นตอนการคัดกรองและคัดสรรรายการ ประจำปี 2553-2554 (.doc)  ไฟล์ขั้นตอนการคัดกรองและคัดสรรรายการ ประจำปี 2553-2554 (.pdf)
ขั้นตอนการคัดกรองและคัดสรรรายการ ประจำปี 2553-2554  
 
ไฟล์แบบฟอร์มข้อเสนอรายการปี 2554 (.doc)  ไฟล์แบบฟอร์มข้อเสนอรายการปี 2554 (.pdf)
แบบฟอร์มข้อเสนอรายการปี 2554  
 
ไฟล์แนวทางความต้องการผลิตรายการ ปี 2554 (.doc)  ไฟล์แนวทางความต้องการผลิตรายการ ปี 2554 (.pdf)
แนวทางความต้องการผลิตรายการ ปี 2554  
 
ไฟล์รายละเอียดและขอบเขตความต้องการผลิตรายการสารประโยชน์ ปี 2554 (.doc)  ไฟล์รายละเอียดและขอบเขตความต้องการผลิตรายการสารประโยชน์ ปี 2554 (.pdf)
รายละเอียดและขอบเขตความต้องการผลิตรายการสารประโยชน์ ปี 2554  
 
ไฟล์รายละเอียดและขอบเขตความต้องการผลิตรายการสาระบันเทิง ปี 2554 (.doc)  ไฟล์รายละเอียดและขอบเขตความต้องการผลิตรายการสาระบันเทิง ปี 2554 (.pdf)
รายละเอียดและขอบเขตความต้องการผลิตรายการสาระบันเทิง ปี 2554  
 
ไฟล์รายการกลุ่มผู้ชมเฉพาะ : กลุ่มเด็ก เยาวชน ปี 2554 (.doc)  ไฟล์รายการกลุ่มผู้ชมเฉพาะ : กลุ่มเด็ก เยาวชน ปี 2554 (.pdf)
รายการกลุ่มผู้ชมเฉพาะ : กลุ่มเด็ก เยาวชน ปี 2554  
     
 

(เปิดรับลงทะเบียนข้อเสนอรายการ 1 มกราคม 2554)
 
 

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 0-2791-1145 , 0-2791-1257-9 (เฉพาะเวลาทำการ)
หรืออีเมล์ Program54@thaipbs.or.th





ขึ้นรถเมล์ขสมก.ฟรีไหว้พระ 9 วัด 30 ธ.ค.-2 ม.ค. เวลา 06.00-22.00 น. เส้นทางให้บริการเป็นวงกลมจากอนุสาวรีย์ชัยฯ-สนามหลวง-หมอชิต









ขึ้นรถเมล์ขสมก.ฟรีไหว้พระ 9 วัด 30 ธ.ค.-2 ม.ค.
 


เมื่อวันที่ 22 ธ.ค. นายโอภาส เพชรมุณี ผู้อำนวยการองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.)

เปิด เผยว่า ได้รับนโยบายด่วนจากนายโสภณ ซารัมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ให้มอบความสุขในการใช้บริการรถเมล์เป็นของขวัญปีใหม่ให้คนกรุงเทพฯ โดยจัดเดินรถเมล์บริการฟรีในโครงการ "ครอบครัวสุขสันต์" อำนวยความสะดวกประชาชนที่จะเดินทางกลับต่างจังหวัดไปสถานีขนส่งหมอชิตรวม ทั้งประชาชน ที่ต้องการมาไหว้พระ 9 วัดหรือท่องเที่ยวในพื้นที่เกาะรัตนโกสินทร์โดยมาเป็นครอบครัวหรือมาเดี่ยว ก็ได้ จะให้บริการ ระหว่างวันที่ 30 ธ.ค. 53-2 ม.ค. 54 ช่วงเวลา 06.00-22.00 น. จะเปิดโครงการในวันที่ 30 ธ.ค. นี้ เวลา 10.00 น. จะ ติดป้ายประชาสัมพันธ์ด้านหน้าและด้านหลังรถให้ชัดเจนเป็นที่สังเกตได้ง่าย รวมรถทั้งหมด 50 คันเป็นรถร้อน เนื่องจากขณะนี้หน้าหนาวอากาศกำลังสบาย

นายโอภาส กล่าวต่อว่า เส้นทางให้บริการเป็นวงกลมจากอนุสาวรีย์ชัยฯ-สนามหลวง-หมอชิต ผ่านวัดต่าง ๆ ในพื้นที่เกาะรัตนโกสินทร์ดังนี้

จากอนุสาวรีย์ ชัยฯ วิ่งถนนศรีอยุธยา ผ่านวัดเบญฯ วิ่งถนนสามเสน ผ่านวัดชนะสงคราม วัดมหาธาตุ วัดพระเชตุพน วัดพระแก้ว พระบรมมหาราชวัง ศาลหลักเมือง วัดสุทัศน์ ลานคนเมือง ศาลาว่าการ กทม. วัดอนงค์และ   สิ้นสุดที่วงเวียนใหญ่ ส่วนเส้นทางอื่น ๆ นั้น ขสมก. จัดบริการรถเมล์ฟรี 800 คัน 73 เส้นทางให้บริการอยู่แล้ว พร้อมขยายเวลาบริการฟรีตามนโยบายรัฐบาล และช่วงเทศกาลปีใหม่ได้จัดสายตรวจดูแลความปลอดภัยประชาชนตามเส้นทางสถานีขนส่งต่าง ๆ.


ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์