ไม่ เฉพาะในประเทศไทย หากดูข้อมูลย้อนหลัง 2010 ถือว่าเป็นปีแห่งภัยพิบัติของโลกอย่างแท้จริง สิ่งที่หลายคนสงสัยอยู่ที่ว่า ถ้าโลกพูดได้ เขากำลังจะสื่อสารอะไรกับมนุษย์หรือเปล่า…? ถ้าคุณเชื่อเรื่องธรรมชาติมีชีวิต เชื่อเรื่องกฎการคัดสรรของธรรมชาติ เชื่อหนังฮอลีวูดที่ผลิตกรอกหูซ้ำๆ ว่าวันหนึ่งโลกจะแตก และเชื่อว่าวันหนึ่งประเทศไทยจะไม่มีอยู่บนแผนที่โลก ฯลฯ นี่คือสิ่งที่คุณต้องอ่านก่อนตาย... !!
2010 คำพูดจากโลก ถึง มนุษย์ผู้ทำลาย
ไทย รัฐออนไลน์ลองค้นข้อมูลคร่าวๆ เกี่ยวกับภัยพิบัติอันเกิดจากธรรมชาติพิโรธ (มนุษย์โลก) แล้ว พบข้อมูลที่น่าตกใจเพราะที่ผ่านมา โดยเฉพาะปี 2010 เหตุการณ์ที่ว่าได้เกิดขึ้นอย่างมากมาย
*เปิดศักราชใหม่วันที่ 12 มกราคม 2553 เกิดแผ่นดินไหวที่ "เฮติ" ขนาด 7.0 ริกเตอร์ สร้างความเสียหายมากมายมหาศาล โดยศูนย์กลางแผ่นดินไหวอยู่ห่างจากกรุงปอร์โตแปรงซ์เมืองหลวงของประเทศเฮติ ทั้งนี้ ได้มีการประมาณว่า มีผู้ได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหวครั้งนี้มากกว่า 3 ล้านคน รัฐบาลเฮติรายงานว่ามีผู้เสียชีวิตเกือบ 3 แสนคน ผู้บาดเจ็บอีกกว่า 3 แสนคน และอีกกว่า 1 ล้านคนยังไม่มีที่อยู่อาศัย
* เดือนต่อมาในวันที่ 27 กุมภาพันธ์ เกิดแผ่นดินไหวขนาด 8.8 ริกเตอร์ที่นอกชายฝั่งแคว้นเมาเลประเทศชิลี จนเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายของทรัพย์สินชนิด "ราบพนาสูญ"ที่น่าตกใจกว่าความเสียหายซึ่งมากมายมหาศาลแล้ว เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้แกนโลกเอียงไปจากตำแหน่งเดิม 3 นิ้วส่งผลให้ระยะเวลาสั้นลงไป 1.26 ไมโครวินาที (1ไมโครวินาที เท่ากับ 1 ในล้านวินาที) เลยทีเดียว
* วันที่ 8 มีนาคม 2553 เกิดพายุทำให้เกิดฝนตกหนักในนครเมลเบิร์น วัดระดับน้ำฝนได้ 26 มิลลิเมตร พื้นที่อื่นวัดระดับน้ำฝนได้สูงถึง 70 มิลลิเมตร นอกจากนี้ ยังมีลูกเห็บยักษ์ที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางถึง 4 นิ้ว หรือเท่ากับลูกเทนนิส มีประชาชนแจ้งขอรับความช่วยเหลือมากกว่า 4,000 คน
* วันที่ 20 มีนาคม 2553 เกิดการปะทุของภูเขาไฟชื่อดังในไอซ์แลนด์ จริงๆ แผ่นดินไหวได้เริ่มต้นขึ้นนับตั้งแต่ปลายปี พ.ศ. 2552 ในครั้งนี้ ซึ่งมีการจัดดัชนีการระเบิดของภูเขาไฟอยู่ที่ระดับ 1 การปะทุครั้งล่าสุดเกิดขึ้นในวันที่ 14 เมษายนที่ผ่านมาและได้รบกวนการจราจรทางอากาศในทวีปยุโรปมหาศาล ส่งผลกระทบต่อผู้โดยสารนับล้านๆ คน
* ทิ้งท้ายกับภัยธรรมชาติในวันที่ 31 มีนาคม 2553 เกิดแผ่นดินไหวรุนแรงในอ่าวเบงกอล วัดขนาดแรงสั่นสะเทือนได้ 6.8 ริคเตอร์ที่หมู่เกาะอันดามันแอนด์ นิโคบาร์ ในอ่าวเบงกอล
* เดือนถัดมาเรียกว่าภัยธรรมชาติหายใจรดต้นคอโลกใบนี้ราวกับโกรธแค้น วันที่ 7 เมษายน 2553 เมื่อเวลา 05.15 น. (ตามเวลาท้องถิ่น) ขณะที่คนกำลังหลับใหลเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวนอกชายฝั่งของเกาะสุมาตรา ประเทศอินโดนีเซีย มีความรุนแรง 7.8 ริกเตอร์ ไม่มีรายงานผู้ได้รับบาดเจ็บหลังจากนั้นเกิดคลื่นสึนามิ สูง 1.5 ซม.ใกล้ศูนย์กลางแผ่นดินไหว ซึ่งเป็นคลื่นขนาดเล็ก
* อีก 1 อาทิตย์ถัดมา เกิดภูเขาไฟใต้ธารน้ำแข็งตอนใต้ของเกาะไอซ์แลนด์ระเบิดปะทุขึ้นฟ้าสูงถึง 8 กิโลเมตร ฝุ่นขี้เถ้าลอยสูงกว่า 6 พันเมตร และฟุ้งกระจายไปทั่วประเทศ และหลายประเทศในยุโรปตั้งแต่วันที่ 14 เม.ย.เป็นต้นมา กลุ่มควันและเถ้าละอองปลิวฟุ้งขึ้นไปบนท้องฟ้าก่อให้เกิดอันตรายกับเครื่อง ยนต์ไอพ่นของเครื่องบินโดยสารเที่ยวบินในภูมิภาคยุโรปต้องยกเลิกเที่ยวบิน สร้างความโกลาหลอย่างมากมาย
* ในวันเดียวกันที่ประเทศจีนเกิดแผ่นดินไหวซ้ำอีก มีความรุนแรง 6.9 หรือ 7.1 ริกเตอร์ บริเวณเขตปกครองตนเองยูซู มณฑลชิงไห่ สาธารณรัฐประชาชนจีน เมื่อเวลา 07.49 น. (ตามเวลาในท้องถิ่น) สำนักข่าวซินหัวของประเทศจีน รายงานว่ามีผู้เสียชีวิตอย่างเป็นทางการ 2,220 ราย สูญหาย 70 ราย และบาดเจ็บ 12,135 ราย ซึ่งในที่นี้บาดเจ็บสาหัสเกือบ 2 พันราย
* เหตุการณ์โลกพิโรธต่อมาเกิดขึ้นวันที่ 15 พฤษภาคม 2553 พายุทอร์นาโด และพายุลูกเห็บที่เมืองซุ่ยหัว ซึ่งอยู่ห่างจากเมืองฮาร์บินประมาณ 120 กิโลเมตร ในมณฑลเฮยหลงเจียง ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของสาธารณรัฐประชาชนจีน ทำให้มีผู้เสียชีวิต และได้รับบาดเจ็บมากมาย
* วันที่ 1 มิถุนายน 2553 เกิดแผ่นดินไหวขนาด 6.4 ริกเตอร์ที่นอกหมู่เกาะอันดามันของอินเดียที่ระดับความลึก 127 กิโลเมตร และมีศูนย์กลางแผ่นดินไหวห่างประมาณ 120 กิโลเมตร จากเมืองพอร์ตแบลร์ของหมู่เกาะอันดามัน
* วันที่ 5 มิถุนายน 2553 เกิดพายุทอร์นาโดพัดถล่มทางภาคตะวันตกด้านกลางของสหรัฐอเมริกา
* วันที่ 7 มิถุนายน 2553 ภูเขาไฟระเบิดที่ประเทศคู่แค้นกับอเมริกา "รัสเซีย" และมีรายงานข่าวภูเขาไฟระเบิดอย่างต่อเนื่องมากถึง 3 ครั้งต่อชั่วโมงที่ประเทศเอควาดอร์
* วันที่ 9 มิถุนายน 2553 เกิดแผ่นดินไหวขนาดเกือบ 6 ริกเตอร์ ที่บริเวณประเทศฟิลิปปินส์ นอกจากนั้นยังเกิดแผ่นดินไหวที่เกาะวาเนาตู (Vanautu) ขนาด 6.0 ริกเตอร์อีกต่างหาก
* วันที่ 10 มิถุนายน 2553 เกิดน้ำท่วมขนาดใหญ่ที่รัฐเท็กซัส ของมหาอำนาจสหรัฐอเมริกา
* วันที่ 12 มิถุนายน 2553 ราวตี 1 เกิดแผ่นดินไหวขนาด 7.5 ริกเตอร์ ที่นอกชายฝั่งประเทศอินเดีย ซึ่งห่างจากซีกตะวันตกของหมู่เกาะนิโคบาร์ไปประมาณ 150 กิโลเมตรที่ความลึก 35 กิโลเมตร
* วันที่ 13 มิถุนายน 2553 เหตุภัยพิบัติพายุฝน และดินถล่มทางตอนใต้ของประเทศจีน ซึ่งได้คร่าชีวิตชาวจีนไปจำนวนหนึ่ง สำหรับมูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจคิดเป็นเงินประมาณ 43,000 ล้านหยวน และมีผู้อพยพกว่าเกือบ 3 ล้านคน
* วันที่ 16 มิถุนายน 2553 เกิดเหตุแผ่นดินไหวบริเวณเกาะไบแอ็ก (Biak) อยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิกทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของเกาะปาปัว วัดความสั่นสะเทือนได้ 6.2 ริกเตอร์
* วันที่ 18 มิถุนายน 2553 ประเทศจีนเกิดน้ำท่วมและแผ่นดินถล่มฉับพลันในพื้นที่ 74 เมือง ของ 6 มณฑล ประมาณการณ์ว่าประชาชนกว่า 2.56 ล้านคนได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติครั้งนี้
* เดือนกรกฎาคม วันที่ 14 เกิดเหตุน้ำท่วม และดินถล่มจากฝนตกหนักทางภาคใต้ของจีน ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 400 คน
* วันเดียวกัน เหตุการณ์แผ่นดินไหวอินโดนีเซียขนาด 5.6 ริกเตอร์
* 2 วันถัดมา หรือ วันที่ 16 กรกฎาคม 2553 เกิดพายุโซนร้อน "โกนเซิน" (Conson) ณ บริเวณทะเลจีนใต้ มีศูนย์กลางอยู่ห่างประมาณ 600 กิโลเมตร ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองฮานอย ประเทศเวียดนาม
* ปลายเดือนกรกฎาคมจนถึงราวต้นเดือนกันยายน 2553 เกิดไฟป่าในรัสเซียนับหลายร้อยแห่ง เนื่องจากอุณหภูมิที่สูงที่สุดเท่าที่เคยบันทึกมาในประวัติศาสตร์รัสเซีย และความแห้งแล้งในภูมิภาค มีการประมาณผู้เสียจริงอาจสูงถึง 8,000 คน
* สิงหาคม เริ่มต้นด้วยความเศร้าอีกครั้งในวันที่ 1 สิงหาคม 2553 ได้เกิดอุทกภัยรุนแรงทางตะวันตกเฉียงเหนือของปากีสถาน จากผลพวงของพายุฤดูร้อน ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 1,000 ราย
* 8 สิงหาคม 2553 เกิดอุทกภัย และแผ่นดินถล่มที่จีน เนื่องมาจากฝนตกหนัก ที่เมืองทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศจีน คร่าชีวิตประชาชนไปแล้วอย่างน้อย 127 คน สูญหายอีก กว่า 1,300 คน
* 7 วันถัดมาเกิดเหตุไฟป่าในโบลิเวียเป็นเหตุการณ์ที่นำไปสู่การประกาศสถานการณ์ ฉุกเฉินเนื่องจากพบว่ามีไฟป่าเกิดขึ้นมากกว่า 25,000 จุดทั่วประเทศ ไฟป่าได้ผลาญทำลายบ้านเรือนไปเกือบ 60 หลังคาเรือน
* 6 กันยายน 2553 โคลนถล่มกัวเตมาลา พบผู้เสียชีวิตและสูญหายพุ่งเกินกว่า 100 ราย
* มาถึงคิวประเทศไทย วันที่ 10-30 ตุลาคม 2553 เกิดอุทกภัยในประเทศไทย เป็นเหตุการณ์การเกิดน้ำท่วมในประเทศไทยหนักที่สุดในรอบหลายสิบปี ก่อให้เกิดความเสียหายอย่างหนักทั้งชีวิตและทรัพย์สินในหลายพื้นที่แบบที่ หลายคนยังประเมินความเสียหายไม่ได้
* 25 ตุลาคม 2553 แผ่นดินไหวที่อินโดนีเซีย ขนาดความรุนแรง 7.7 ริกเตอร์
* 26 ตุลาคม 2553 ภูเขาไฟเมราปี (Merapi) ระเบิดซ้ำที่ประเทศอินโดนีเซีย โดยมีรัศมีการกระจายของขี้เถ้าขยายเป็นวงกว้างประมาณ 2-4 กิโลเมตร
* 27 ตุลาคม 2553 สึนามิถล่มซ้ำที่หมู่เกาะ เมนตาไว ประเทศอินโดนีเซีย ความรุนแรงถึง 7.2 ริกเตอร์ ทำให้มีผู้เสียชีวิต 108 คน และสูญหายราว 500 คน
* 1 พฤศจิกายน 2553 เป็นอีกครั้งหนึ่งที่กลายเป็นประวัติศาสตร์ความเสียหายของประเทศไทย กับการเดินทางผ่านของพายุดีเปรสชั่นถล่มภาคใต้ ฯลฯ
อย่างไรก็ดี ภาพช่วงเวลาเหตุการณ์โลกพิโรธส่วนหนึ่งที่กำลังร้อยเรียงอยู่นี้ ปฏิเสธไม่ได้ว่าทำให้เรานึกภาพว่า ภาพยนตร์ดังเกี่ยวกับภัยพิบัติล้างโลกจากฝีมือผู้กำกับฮอลลีวูดที่พวกเขา สร้างขึ้นมาซ้ำๆ มันไม่
ใช่เรื่องที่เกินจินตนาการ หรือเป็นเพียงความสนุกในครัวเรือนซะแล้ว...!!!
ถอดรหัส 2010 วันสิ้นโลก
ดร.อานนท์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา ผู้อำนวยการศูนย์เครือข่ายงานวิเคราะห์วิจัยและฝึกอบรมการเปลี่ยนแปลงของโลก แห่งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยไขปริศนา "โลกเอาคืน" ผ่านไทยรัฐออนไลน์ว่า หลายคนสงสัยว่า ภัยธรรมชาติมากมายที่ผ่านมา โดยเฉพาะในปี 2010 นี้ถือได้ว่าเป็นการเอาคืนมนุษย์ผู้ทำลายของธรรมชาติไหม
"พูดได้ครับ เพราะหลายอย่างเกี่ยวข้องกันอย่างมาก เช่น การเกิดพายุมีคนโยงว่ามันเกี่ยวข้องกับภาวะโลกร้อนที่มันทำให้สภาพโดยร่วม มันเปลี่ยนแปลงไปบ้างเลยทำให้พายุที่เกิดขึ้นมากมายในวงรอบที่มันเปลี่ยนไป หรือว่ามาเกิดในที่ที่ไม่เคยเกิดและเพิ่มดีกรีความรุนแรงอีกต่างหาก ดังนั้นจะสังเกตได้ว่าทั่วโลกกำลังพยายามรณรงค์หรือแม้กระทั่งมีข้อตกลง เพื่อแก้ไขปัญหาโลกใกล้แตกเหล่านี้ เนื่องจากไม่อยากไปให้ถึงจุดที่จะเกิดนั้นจริงๆ"
ถามว่าหากโลกใบนี้ แตก "มนุษย์จะสูญพันธุ์" ไหม ผอ.ศูนย์เครือข่ายงานวิเคราะห์วิจัยและฝึกอบรมการเปลี่ยนแปลงของโลกแห่ง ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บอกว่า
"ถ้าวันนี้เราไม่สู้หรือไม่ทำ อะไรเลย จินตนาการที่ว่าโลกแตกมนุษย์สูญพันธุ์นั้น "มันก็เป็นไปได้..." แต่ก่อนหน้านั้นมันคงจะถึงจุดที่เราเริ่มตระหนักถึงความอันตราย และเราคงไม่งอมือ งอเท้ากันขนาดนั้นซึ่งตอนนี้ทั่วโลกก็พยายามทำกันอยู่ แต่ถ้าเราพูดในสมมติฐานว่า "ถ้าไม่ทำอะไรเลย..." ยังทำร้ายโลกกันแบบนี้ผมเชื่อว่าอีกสัก 50-60 ปีอาจจะต้องมีคนที่ต้องเสียสละ แน่นอนว่าเราอาจจะพาคนทั้ง 7 ล้านคนทั่วโลกไปด้วยไม่ได้ทั้งหมดมันอาจจะมีบางคนเท่านั้นที่ไปรอดจากภัย ธรรมชาติที่จะทำให้มนุษย์นั้นสูญพันธุ์"
แต่ก่อนจะไปถึงจุดนั้น สิ่งสำคัญอันดับแรกที่มนุษย์อย่างเราๆ ท่านๆ ต้องรับมือในตอนนี้ก็คือ การรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของโลก และอากาศในระดับที่มันรุนแรงมากขึ้น เพราะวันนั้นเราสามารถได้เห็นประเทศอย่าง "บังกลาเทศ" หรือประเทศหมู่เกาะที่มันจมหายไปแล้ว หลายทวีปก็ส่อแววแบบนั้นเหมือนกัน
เจ้าของฉายา ด็อกเตอร์โลกร้อนย้ำว่า อีก 50 ปีจากนี้เรามีสิทธิ์เห็นสภาพบังกลาเทศ หรือประเทศจมน้ำไปแน่นอน
"ถาม ว่าแล้วประเทศไทยจะเป็นอย่างไรนับจากนี้ จริงๆ ประเทศไทยถือว่าอยู่ในกลุ่มที่เปลี่ยนแปลงไปค่อนข้างน้อย เราอาจจะไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ แต่เราอาจจะเห็นคนอย่างบังกลาเทศมาอยู่เมืองไทยมากขึ้น ซึ่งผลกระทบหนักๆ ไม่จำเป็นจะต้องเกิดโดยตรงๆ เช่น ถ้าวันหนึ่งประเทศไทยอาจจะผลิตข้าวให้กับโลกเท่านั้นเท่านี้ โดยอาจจะมีองค์การอาหารโลกมากำหนดไม่ใช่ผลิตไปเรื่อยๆ ตามใจประเทศเราประเทศเดียว เป็นผลกระทบทางอ้อมทางเศรษฐกิจ การเมือง สังคม จะมารูปแบบนี้มากขึ้นในอนาคตอันใกล้"
นอกจากนี้ผลกระทบภายในที่เรา ต้องเผชิญก็คือ ถึงวันหนึ่งประชากรเราก็จะหนาแน่นมากขึ้น ทว่าทรัพยากรที่เคยมีให้ใช้กันอย่างสุขสบายในประเทศไทยก็จะมีน้อยลงทุกที พูดง่ายๆ คือเราจะมีทางเลือกที่น้อยลงซึ่งตอนนี้เราจะต้องมาร่วมกันเพื่อหาวิธีการที่ จะทำให้คนของเราไม่เพียงแค่อยู่รอดได้ แต่ต้องอยู่รอดได้อย่างดีจากสภาวะโลกเช่นนี้
เมื่อ มองว่าโลกจะต้องถึงกาลอวสานจริงๆ คำถามก็คือวันนี้ "นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลก" มีการมองว่าจะทิ้งโลกที่อนาคตกำลังจะแตกเอาไว้ไหม...? ผู้เชี่ยวชาญเรื่องโลกร้อนบอกว่า "มี"
"เช่น มองว่าวันหนึ่งมนุษย์โลกอาจจะต้องไปอยู่ในใต้ทะเล ซึ่งในใต้มหาสมุทรเรายังมีพื้นที่ 60-70% ของพื้นที่ผิวโลกที่เรายังใช้ประโยชน์อยู่น้อย กระทั่งมีการพูดถึงว่าการผลิตสิ่งต่างๆ อยู่ในทะเลได้หรือเปล่า แม้แต่นักวิทยาศาสตร์หลายท่านก็บอกว่าเรายังมีที่ ที่ไม่คิดว่าจะอยู่ เช่น แอนตาร์กติก ในเขตรัสเซีย ซึ่งตอนนี้เป็นที่ว่างๆ ต่อไปมันอาจจะเปิดกว้าง ต่อไปอาจจะมีเทคโนโลยีที่กระจายคนไปอยู่ตรงนั้นได้ เพราะตอนนี้คน 7 พันล้านคนทั่วโลกมันอยู่กันแบบกระจุกตัวเฉพาะบางแห่ง มันยังมีพื้นที่ที่คนอยู่น้อยเป็นจำนวนมาก แต่ ณ วันนี้ เรายังไม่มีวิธีการที่จะไปอยู่ตรงนั้นได้อย่างมีความสุข"
สุดท้าย เมื่อถึงวันที่คนส่วนหนึ่งจะต้องเสียสละ ถามว่าแล้วประเทศไทยจะรอดกฎคัดสรรโดยธรรมชาติไหม
"มอง ได้หลายแนวทาง ถ้าระบบประเทศยังมีอยู่ เรายังสามารถควบคุมพื้นที่ประเทศได้ เราก็จะเป็นประเทศที่ไม่โดนคัดออกผมเชื่อแบบนั้นเพราะประเทศไทยมีสิ่งที่ อุดมสมบูรณ์มากมายแต่ถ้ามองต่อไปว่าวันหนึ่งเราอาจจะต้องพบกับระบบของคำว่า "ขอบเขตประเทศไม่มี" คือโลกเราเป็นเนื้อเดียวกัน หมายถึงมันมี "รัฐบาลโลก" ทุกคนเป็นประชาชนของโลกไม่มีคำว่า "ประเทศอีกต่อไป" ประเทศไทยจะลำบาก เพราะว่าที่เราอยู่ได้เพราะประเทศไทยเป็นของเรา ถ้าเผื่อใครมาอยู่ก็ได้ มาบริหารประเทศไทยได้ ประเทศไทยจะสูญพันธุ์"
วันนี้ประเทศที่อุดม สมบูรณ์จึงกลายเป็นที่ที่หลายประเทศหมายปองที่จะเข้ามา ดังนั้นเราจะใช้แนวความคิดเดิมๆ แก้ปัญหาโลกไม่ได้ เช่นการใช้ถุงโลกร้อน หรือสร้างเขื่อนกั้นน้ำตรงไหนดี เราต้องไปไกลกว่านั้น เราจะเตรียมรับการเปลี่ยนแปลงทางด้านอื่นๆ ที่มันจะมาเป็นลูกพ่วงกับการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศอีกเยอะแยะ ซึ่งตอนนี้ยังทัน แต่เราต้องเริ่มคิด เรามองให้ไกล ถ้าเรายังมองแบบเดิมๆ เราจะโดนคัดออกแน่นอน...ผู้เชี่ยวชาญเรื่องโลกชื่อดัง กล่าวสรุป.